1. กลับขึ้นด้านบน
  2. บทความพิเศษ โปรแกรมตัวอย่าง
  3. ตัวอย่างคอร์สเที่ยวฮิเมจิ 2 วัน 1 คืน ไปสัมผัสความงามของญี่ปุ่นด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 กัน
2023.02.21.อังคาร การท่องเที่ยวตัวอย่างคอร์สท่องเที่ยว

ตัวอย่างคอร์สเที่ยวฮิเมจิ 2 วัน 1 คืน ไปสัมผัสความงามของญี่ปุ่นด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 กัน

ตัวอย่างคอร์สเที่ยวฮิเมจิ 2 วัน 1 คืน ไปสัมผัสความงามของญี่ปุ่นด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 กัน

ฮิเมจิ (Himeji) ที่สามารถสัมผัสความงามและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้

ฮิเมจิซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่มีเสน่ห์มากที่สุดของญี่ปุ่น
มีสถานที่น่าสนใจอย่างปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ชื่อดังระดับโลก โคโคะเอ็น (Koko-en Garden) สวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และวัดโชชาซัง เอ็นเกียวจิ (Shoshazan Engyoji Temple) ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้ที่ชื่นชอบความงามและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ขอแนะนำให้พักค้างคืนอย่างน้อย 2 วันเพื่อดื่มด่ำกับเสน่ห์ของเมืองรอบปราสาทแห่งนี้อย่างเต็มที่
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้เวลา 2 วัน 1 คืนในเมืองรอบปราสาทที่มีเสน่ห์แห่งนี้ บทความนี้ขอแนะนำสถานที่เที่ยวที่ต้องไปชมให้ได้พร้อมวิธีเที่ยวในฮิเมจิ รวมทั้งร้านอาหารและที่พักแนะนำ

เส้นทางแนะนำสำหรับวันที่ 1

สัมผัสประวัติศาสตร์ที่ปราสาทฮิเมจิ

ปราสาทฮิเมจิซึ่งใช้เทคนิคการสร้างปราสาทที่ทันสมัยที่สุดในยุคศักดินาของญี่ปุ่น ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เนื่องจากมีลักษณะคล้ายนกกระสาขาวกางปีกโบยบิน จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าปราสาทฮาคุโระ (หรือปราสาทชิราซากิ ซึ่งแปลว่า “นกกระสาขาว”) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี 1993

ปราสาทชิราซากิไม่เพียงภายนอกจะงดงาม แต่เมื่อเข้าไปในนิชิโนะมารุและเท็นชุคาคุ (ป้อมปราสาท สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปราสาท) ที่อยู่ในบริเวณปราสาทนั้น จะยิ่งประทับใจมากขึ้น

ภาพระยะใกล้ของกระเบื้องมุงหลังคาปราสาทฮิเมจิที่ละเอียดปราณีต

เนื่องจากมีอะไรให้ดูมากมายจึงควรเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในการชมและถ่ายภาพปราสาท ท่านที่มาเยี่ยมชมครั้งแรกควรเข้าร่วมทัวร์ชมปราสาท (ที่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษ) เพื่อชื่นชมเสน่ห์ของที่นี่อย่างเต็มที่
ปราสาทฮิเมจิเดินจากสถานีฮิเมจิตรงไปทางเหนือราว 20 นาที จะผ่านโชเท็นไก (ย่านการค้า) ที่มีถนนสายหลักและชอปปิงอาเขต (ทางเดินที่มีหลังคา) นอกจากนี้ยังมีรถบัสวิ่งจากหน้าสถานีรถไฟไปยังปราสาทด้วย

รับประทานมื้อเที่ยงสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่คาเฟ่ Wacca กัน

หลังจากเที่ยวปราสาทฮิเมจิแล้ว ให้เดินเล่นไปตามมิยูกิโดริโชเท็นไก (Miyuki-Dori Shopping Street) ย่านการค้าที่มีเสน่ห์ของฮิเมจิซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของปราสาท แวะมาผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและเติมพลังที่คาเฟ่ Wacca (วักกะ) และขอแนะนำคาเฟ่แห่งนี้แก่ผู้ที่ต้องการเพลิดเพลินกับอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับดั้งเดิมในคาเฟ่บรรยากาศที่ผ่อนคลายด้วยเช่นกัน
ชั้น 2 และ 3 ปูด้วยเสื่อทาทามิ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เมนูที่คาเฟ่ Wacca เป็นอาหารญี่ปุ่นสไตล์ดั้งเดิมที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน มีรสชาติกลมกล่อมอร่อยลงตัว
ยิ่งถ้าเดินเล่นรอบฮิเมจิในชุดกิโมโน ก็จะยิ่งทำให้ทริปท่องเที่ยวนี้พิเศษมากขึ้น รอบๆ ฮิเมจิและมิยูกิโดริมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่หลายร้านเลย

เดินเล่นในโคโคะเอ็น เพลิดเพลินกับช่วงเวลาหรูหราในสวนญี่ปุ่นกัน

ส่วนช่วงบ่าย แวะไปสัมผัสความงามของสวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่โคโคะเอ็นกัน สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับปราสาทฮิเมจิ และจากจุดชมวิวสวยในสวนสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของปราสาทฮิเมจิได้ สวนแห่งนี้มีความงดงามในทุกฤดูกาล ดังนั้นจึงสามารถมาเพลิดเพลินกับความงดงามที่แตกต่างได้ตลอดทั้งปี
โคโคะเอ็นเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถเรียนรู้พืชพันธุ์และรูปแบบสวนสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นต่างๆ เช่น ดงไผ่สีเขียวสดใส สระน้ำที่มีปลาคาร์ปหลากสีสัน และสวนที่รวมพันธุ์พืชจากสมัยเอโดะ (ปี 1603 – 1868) ไว้

หากต้องการเพลิดเพลินกับชาเขียวมัทฉะและขนมหวาน ลองแวะไปที่โซจูอัน (Souju-an) ห้องพิธีชงชาแบบดั้งเดิมในบริเวณโคโคะเอ็นดู ที่นี่สามารถลิ้มรสขนมหวานตามฤดูกาลและชมสวนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจากห้องพิธีชงชาได้
จะใช้เวลาเดินชมสวนและถ่ายรูปที่โคโคะเอ็นราว 1 ชั่วโมง แต่หากต้องการพักผ่อนคลายเหนื่อยในขณะที่เพลิดเพลินกับชาเขียวมัทฉะและวากาชิ (ขนมญี่ปุ่นด้ังเดิม) ในห้องพิธีชงชา ควรเผื่อเวลาไว้สักหน่อย

ที่พักแนะนำในฮิเมจิ

1. SETRE HIGHLAND VILLA HIMEJI ที่สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองฮิเมจิ

Picture courtesy of SETRE Highland Villa Himeji

SETRE HIGHLAND VILLA HIMEJI (เซเตร ไฮแลนด์ วิลล่า ฮิเมจิ) เป็นโรงแรมอันเงียบสงบตั้งอยู่บนเขาฮิโรมิเนะ (Mt. Hiromine) ใช้เวลานั่งรถชัทเทิลบัสจากสถานีฮิเมจิ (Himeji) ราว 30 นาที พร้อมพรั่งด้วยทัศนียภาพอันงดงามของฮิเมจิและทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) ห้องพักสะดวกสบายมีสไตล์ และอาหารอร่อย จึงเป็นที่พักแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เวลายามค่ำคืนอันเงียบสงบ
มีสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรมครบครัน เช่น ห้องทำสมาธิ ห้องอาบน้ำแบบดั้งเดิม และดาดฟ้าสไตล์ดาดฟ้าเรือที่สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน มีห้องเสื่อทาทามิ ที่นี่ยังมีการออกแบบในสไตล์ญี่ปุ่นที่โดดเด่นด้วย
อาหารของที่ SETRE HIGHLAND VILLA HIMEJI ยังยอดเยี่ยมมากๆ ด้วย ขอแนะนำให้จองอาหารค่ำตอนเข้าพัก ห้องอาหารของโรงแรมให้บริการอาหารแบบคอร์สที่ผสมผสานสไตล์ญี่ปุ่นกับตะวันตกโดยใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลและผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่นอย่างโซเม็ง ตลอดจนสาเกท้องถิ่นที่มีให้เลือกมากมาย สำหรับท่านที่มีข้อจำกัดด้านอาหารหรือแพ้อาหาร กรุณาแจ้งทางโรงแรมล่วงหน้า

คลิกที่นี่เพื่อจองห้องพักในเว็บไซต์ทางการของ SETRE HIGHLAND VILLA HIMEJI

2. YUMENOI ออนเซ็นเรียวกัง

Picture courtesy of Yumenoi

ท่านที่ต้องการสัมผัสประการณ์การพักเรียวกังออนเซ็นแบบดั้งเดิม ต้องมาพักที่ YUMENOI (ยูเมะโนอิ) ที่สามารถเพลิดเพลินกับบ่อน้ำพุร้อนประเภทต่างๆ และอาหารรสเลิศระดับพรีเมื่ยม
ห้องพักปูเสื่อทาทามิแบบดั้งเดิมพร้อมบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง สามารถนอนแช่น้ำพุร้อนชมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและธรรมชาติโดยรอบได้
อาหารค่ำที่ YUMENOI เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ (อาหารฟูลคอร์สสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น) สุดหรู อาหารแต่ละจานใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น อาหารทะเลสดๆ จากทะเลในเซโตะ ผักออร์แกนิก และสาเกท้องถิ่นฮาริมะในฮิเมจิ ปรุงและจัดจานอย่างพิถีพิถัน สร้างสรรค์เป็นอาหารอร่อยจานสวยสุดหรู ท่านที่มีข้อจำกัดด้านอาหารหรือแพ้อาหาร กรุณาแจ้งทางโรงแรมล่วงหน้า

คลิกที่นี่เพื่อจองห้องพักในเว็บไซต์ทางการของ YUMENOI

เส้นทางแนะนำวันที่ 2

ขึ้นเขาโชชะด้วยกระเช้าลอยฟ้ากัน

เขาโชชะ (Mt. Shosha) ที่สูง 371 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ซึ่งสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมกลางแจ้งพร้อมสัมผัสประวัติศาสตร์ของฮิเมจิ สามารถไปถึงยอดเขาได้ภายในไม่กี่นาทีด้วยกระเช้าลอยฟ้า บนยอดเขาสามารถมองเห็นเมืองฮิเมจิและที่ราบฮาริมะได้ และในวันที่อากาศแจ่มใสยังมองเห็นทะเลในเซโตะได้ด้วย
ท่านที่อยากออกกำลัง ลองปีนเขาแทนการใช้กระเช้าลอยฟ้า ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง กรุณาเตรียมน้ำและรองเท้าที่เหมาะกับเดินไว้ล่วงหน้ากันด้วยนะ
มีรถบัสจากสถานีฮิเมจิไปถึงชานชาลากระเช้าลอยฟ้าที่เชิงเขาโชชะ ให้ขึ้นรถบัสหมายเลข 8 จากป้ายรถบัสหมายเลข 10 ทางด้านเหนือของสถานี JR ฮิเมจิ (JR Himeji) ไปลงป้ายสุดท้ายที่ป้าย Mt. Shosha Ropeway (ราว 30 นาที) รถบัสมีจำนวนจำกัด ดังนั้นกรุณาตรวจสอบตารางเวลาก่อนออกเดินทาง

ไปเพลิดเพลินกับธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่วัดเอ็นเกียวจิกัน

วัดเอ็นเกียวจิ (Engyoji Temple) ตั้งอยู่บนเขาโชชะ วัดพุทธอันเงียบสงบแห่งนี้รายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ร่วงนักท่องเที่ยวจะได้รับการต้อนรับด้วยป่าที่แต่งแต้มไปด้วยใบไม้สีแดงและสีเหลืองอันงดงาม
วัดเอ็นเกียวจิมีประวัติยาวนานกว่า 1,000 ปี พระพุทธรูปและอาคารบางส่วนของที่นี่ได้รับการกำหนดให้เป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น เมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณวัด จะสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องมหาบุรุษซามูไร (The Last Samurai) ทำให้ที่นี่เป็นวัดที่แฟนภาพยนตร์อยากมาเยือนกันมากๆ
วัดแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ดังนั้นควรสวมรองเท้าที่เดินสบาย นอกจากนี้ยังมีรถชัทเทิลบัส แต่สามารถเดินชมพระพุทธรูปขนาดเล็ก (จิโซ) ได้ ดังนั้นหากมีเวลาและกำลังกายเพียงพอ ขอแนะนำให้เดินจากสถานีซันโจ (Sanjyo) ของกระเช้าลอยฟ้าเขาโชชะ (Mt. Shosha Ropeway)

Picture courtesy of Shoshazan Engyo-ji Temple

สำหรับมื้อกลางวันหลังเดินเล่นรอบๆ บริเวณวัดแล้ว ขอแนะนำโชจินเรียวริแบบดั้งเดิม (อาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพุทธ ไม่ใช้เนื้อสัตว์และพืชผักรสจัด) ซึ่งได้รับมิชลินสตาร์ (MICHELIN Star) จัดเสิร์ฟอาหารหลายชนิดบนเครื่องเขินสีแดงสดสวยงาม สำหรับโชจินเรียวริต้องจองล่วงหน้า (ทางโทรศัพท์)
รอบๆ สถานีฮิเมจิยังมีร้านอาหารมากมาย เช่น อาหารทะเล ฮิเมจิโอเด้ง และอื่นๆ สามารถใช้บริการก่อนมาวัดเอ็นเกียวจิและเขาโชชะได้

ดื่มด่ำกับศิลปะญี่ปุ่นที่หอศิลป์ประจำเมืองฮิเมจิ

Picture courtesy of Himeji Convention & Visitors Bureau

หอศิลป์ประจำเมืองฮิเมจิ (Himeji City Museum of Art) ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทฮิเมจิ ทำให้เป็นสถานที่ซึ่งสะดวกสบายในการแวะชมก่อนหรือหลังเที่ยวชมรอบๆ ปราสาทฮิเมจิ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดเมื่อปี 1983 เพื่อเผยแพร่ศิลปะไปสู่ชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบันเป็นที่รู้จักจากการจัดนิทรรศการผลงานของศิลปินชาวญี่ปุ่น รวมถึงศิลปินร่วมสมัยชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีผลงานมากมายของศิลปินชาวตะวันตกด้วย
พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารอิฐสีแดงซึ่งเคยใช้เป็นโกดังสินค้าในสมัยเมจิ (ปี 1868 – 1912) และจากนั้นใช้เป็นที่ทำการอำเภอ นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมจัดแสดงอยู่สวนระหว่างอาคารพิพิธภัณฑ์ด้วย สามารถดื่มด่ำความงดงามได้ก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์

ไปหาซื้อของฝากจากฮิเมจิกัน

ความสุขสุดยอดอย่างหนึ่งในการเที่ยวญี่ปุ่นคือการได้ซึ้อของฝากหรือของที่ระลึก
ฮิเมจิมีร้านค้าจำหน่ายของฝากที่มีเอกลักษณ์มากมาย โดยเฉพาะที่มิยูกิโดริโชเท็นไกซึ่งเป็นย่านการค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างปราสาทฮิเมจิกับสถานี JR ฮิเมจิ ที่นี่มีร้านค้าเรียงรายอยู่มากมาย เนื่องจากเป็นย่านการค้าในร่มที่มีหลังคา ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของฝากและชอปปิงได้โดยไม่ต้องกังวลกับสภาพอากาศ
ท่านที่ต้องการชอปปิงก่อนขึ้นรถไฟชินคันเซ็น มีร้านต่างๆ อย่างบันซังกัน (Bansankan) และ piole HIMEJI Omiyage-kan (พิโอเร่ฮิเมจิ โอมิยาเกกัง) ซึ่งมีสินค้าให้เลือกมากมาย เช่น ขนมวากาชิของท้องถิ่น งานหัตถกรรมพื้นบ้านอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องหนังฮิเมจิ และของฝากที่มีตัวการ์ตูนชิโรมารุฮิเมะซึ่งเป็นมาสคอตสุดน่ารักของปราสาทฮิเมจิ เมื่อสิ้นสุดทริปเดินทางก็ไปสนุกกับการชอปปิงในฮิเมจิกันนะ

มาสร้างความทรงจำสุดประทับใจในฮิเมจิกัน

ฮิเมจิคือขุมสมบัติแห่งความงามและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้ หากต้องการเพลิดเพลินไปกับเสน่ห์ของเมืองรอบปราสาทแห่งนี้อย่างเต็มที่ควรใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน ฮิเมจินั้นเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ แม้จะใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืนก็ทำให้รู้สึกอยากกลับมาอีก

*เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความ อาจมีการเปลี่ยนแปลงของรายละเอียดสินค้า บริการ ราคาในภายหลังได้ กรุณาตรวจสอบกับสถานที่นั้นอีกครั้งก่อนการไปใช้บริการ

ดูบทความพิเศษและโปรแกรมตัวอย่างอีก

บทความยอดนิยม

บทความที่เกี่ยวข้อง